แหล่งข้อมูล : http://www.slideshare.net/krubuatoom/ss-14445088?related=15
แหล่งข้อมูล : http://www.slideshare.net/guest6d4ac5/thai1-presentation?related=16
ภาษาที่กวีใช้เพื่อสร้างสรรค์ความงามให้แก่บทร้อยแก้วหรือบทร้อยกรองนั้น มีหลักสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกัน 3 ข้อ คือ
1. การเลือกสรรคำให้สื่อความคิด ความเข้าใจ ความรู้สึก อารมณ์ ได้อย่างงดงามตรงตามที่ผู้พูดหรือผู้เขียนมีอยู่จริง เรียกว่า การสรรคำ
2. การจัดวางคำที่เลือกสรรแล้วนั้นให้ต่อเนื่องเป็นลำดับ ร้อยเรียงกันอย่างไพเราะ เหมาะสม ถูกต้องตามโครงสร้างของภาษา และได้จังหวะ ในกรณีที่เป็นบทร้อยกรองจะต้องถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของฉันทลักษณ์ด้วย เรียกว่า การเรียบเรียงคำ
3. การพลิกแพลงภาษาที่ใช้พูดและเขียนให้แปลกออกไปจากที่เป็นอยู่ปกติ ซึ่งจะก่อให้เกิดรสกระทบใจ ความรู้สึกและอารมณ์ ต่างกับภาษาที่ใช้อย่างตรงไปตรงมา เรียกว่า การใช้โวหาร
การสรรคำ
ผู้ส่งสารจะต้องสรรคำให้ตรงตามที่ต้องการ เหมาะแก่บริบท เนื้อเรื่อง และฐานะของบุคคลในเรื่อง โวหารและรูปแบบคำประพันธ์ นอกจากนี้ยังต้องสรรคำโดยคำนึงถึงความงามด้านเสียงด้วย การสรรคำมีดังนี้
1. การเลือกใช้คำให้ถูกต้องตรงตามความหมายที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น
2. เลือกใช้คำที่เหมาะสมแก่เนื้อเรื่องและฐานะของบุคคลในเรื่อง ตัวอย่างเช่น
“ทั่วประเทศเขตแคว้นแดนพริบพรี เหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล
ที่พวกทำน้ำโตนดประโยชน์ทรัพย์ มีดสำหรับเหน็บข้างอย่างทหาร
พะองยาวก้าวตีนปีนทะยาน กระบอกตาลแขวนก้นคนละพวง”
(นิราศเมืองเพชร ของ สุนทรภู่)
ผู้ประพันธ์เลือกสรรคำใช้ได้เหมาะสมแก่เรื่อง ซึ่งเกี่ยวกับการประกอบอาชีพทำน้ำตาลโตนดของคนเมืองเพชร ทำให้ผู้อ่านที่ไม่เคยเห็นนึกภาพได้อย่างชัดเจน
3. เลือกใช้คำให้เหมาะสมแก่ลักษณะของคำประพันธ์ คำจำนวนมากใช้ได้ทั้งในร้อยแก้ว และร้อยกรอง แต่คำบางคำใช้เฉพาะแต่ในคำประพันธ์เท่านั้น ตัวอย่างเช่น
“เพรางายวายเสพรส แสนกำสรดอดโอชา
อิ่มทุกข์อิ่มชลนา อิ่มโศกาหน้านองชล”
(กาพย์เห่เรือ ของ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)
- ดอกไม้ มาลี ผกา บุปผชาติ บุหงา
- ป่า พนา วนา ไพรสณฑ์ พนาสัณฑ์น้ำ วารี สาชล ชโลทร ชลาลัย
- ช้าง กรี หัสดี สาร วรินทร์
- ม้า หัย แสะ ดุรงค์ อาชา
- ใจ มน ฤทัย หทัย ดวงกมล
- งาม โสภา วิลาส เสาวลักษณ์ เสาวภา
5. เลือกใช้คำโดยคำนึงถึงเสียง
5.1 คำเลียนเสียงธรรมชาติ คำเลียนเสียงธรรมชาติในบทประพันธ์ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนและเกิดความรู้สึกคล้อยตาม เช่น
5.2 คำที่เล่นวรรณยุกต์ เช่น
“ฝูงลิงใหญ่น้อยกระจุ้ย ชะนีอุ่ยอุ้ยร้องหา
ฝูงค่างหว่างพฤกษา ค่างโจนไล่ไขว่ปลายยาง”
เขาขันคูคู่คู้ เคียงสอง
เยื้องย่างนางยูงทอง ท่องท้อง
ทิวทุ้งทุ่งทุงมอง มัจฉพราศ
เทาเท่าเท้ายางหย้อง เลียบลิ้มริมทาง
“ ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร ขอพบพานพิสวาทมิคลาดคลา ”
สำนวน พังเพย สุภาษิต
– กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง -กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
– ข้าวยากหมากแพง – ขุดด้วยปาก ถากด้วยตา
– จับดำถลำแดง – เจ้าชู้ไก่แจ้
– ผัวเมียผิดกันอย่าพ้อง พี่น้องผิดกันอย่าพลอย -หูป่าตาเถื่อน
ชื่อเฉพาะ
– มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ (ชื่อแบบเรียน 6เล่ม ของ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร))
– เจริญกรุง บำรุงเมือง เฟื่องนคร
คำขวัญ
– เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
– สะอาดกายเจริญวัย สะอาดใจเจริญสุข
– เมตตาเป็นทุน เกื้อหนุนชุมชน
– มั่นคงด้วยรากฐาน บริการด้วยน้ำใจ
5.4 คำที่เล่นเสียงหนักเบา เพื่อให้บทร้อยแก้วหรือบทร้อยกรองฟังไพเราะ กวีมักใช้เสียงหนักเบาและจังหวะอันเกิดจากวิธีอ่าน ทำให้เข้าถึงความหมายที่แท้จริงของกวีบทนั้นๆ
บทร้อยกรองประเภทฉันท์ที่กำหนดเสียงหนักเบาได้แก่ คำครุและคำลหุ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ คำที่พิมพ์ตัวหนาเป็นคำลหุ
อินทรวิเชียรฉันท์ 11
“ทันใดนั้นเอง หล่อนก็หยุดเมื่อถึงฝั่งลำธาร บรรดาเงาต่างก็พลอยหยุดไปด้วย นอกจากเงาเดียวซึ่งทาบอยู่หลังเสาไฟในระหว่างหล่อนกับข้าพเจ้า เงานั้นคงเคลื่อนต่อไป ผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนลูกมะพร้าวที่ลอยอยู่กลางกระแสน้ำหรือสัตว์เลื้อยคลานที่มุ่งเข้าหาเหยื่อ ใกล้เข้าไปเข้าไปเป็นลำดับ ข้าพเจ้าได้แต่จับตาดูอย่างแทบกลั้นหายใจราวกับถูกมนต์สะกดขยับเขยื้อนเคลื่อนอิริยาบทไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง” (ล่องไพร ของ น้อย อินทนนท์)
ผู้อ่านเป็นจะรู้จักทอดเสียง เน้นเสียงหนัก และผ่อนเสียงเบาที่คำบางคำ ข้อความที่มีลักษณะเป็นพรรณนาโวหารเช่นนี้ ถ้าผู้อ่านใช้ศิลปะของการอ่านช่วยก็จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงรสไพเราะของเนื้อความได้ ดังที่นักแสดงวิทยุอ่านนิทาน นิยาย ทางวิทยุกระจายเสียง
5.5 คำที่มีการกร่อนเสียง หรือที่เรียกว่า คำอัพภาส ซึ่ง คำอัพภาสนี้เป็นคำซ้ำชนิดหนึ่ง แต่เป็นคำซ้ำที่มีการกร่อนเสียงพยางค์หน้าเป็นเสียงสระอะ เช่น วะวับ (วับวับ) ยะแย้ม (แย้มแย้ม)
6. เลือกคำโดยคำนึงถึงคำพ้องเสียงและคำซ้ำ เมื่อนำคำพ้องเสียงมาเรียบเรียงหรือร้อยกรองเข้าด้วยกัน จะทำให้เกิดเสียงไพเราะ เพิ่มความพิศวง น่าฟัง หากใช้ในบทพรรณนาหรือบทคร่ำครวญยิ่งทำให้สะเทือนอารมณ์
ใช้คำพ้องเสียง เรียกว่า การเล่นคำ เช่น
จากพรากจับจากจำนรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี (อิเหนา)
“แม้ฉันจะจน แต่ฉันก็ไม่เคย ขอใครกิน“
2. เรียงคำ วลี หรือประโยคที่มีความสำคัญเท่าๆ กัน
“รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เท่านั้นที่ทุกคนปรารถนา”
3. เรียงประโยคให้เนื้อหาเข้มข้นขึ้นไปตามลำดับ ดุจขั้นบันได จนถึงขั้นสุดท้าย ซึ่งสำคัญที่สุด
“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่าชำนาญ“
4. เรียงประโยคให้เนื้อหาเข้มข้นขึ้นไปตามลำดับแต่คลายความเข้มข้นลงในช่วงสุดท้ายอย่างฉับพลัน
นายหนึ่งเลี้ยงพยัคฆา ไป่อ้วน
สองสามสี่นายมา กำกับ กันแฮ
บังทรัพย์สี่ส่วนถ้วน บาทสิ้นเสือตาย (โคลงโลกนิติ)
5. เรียงถ้อยคำให้เป็นประโยคคำถามเชิงวาทศิลป์ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ
” อันท้าวดาหาธิบดีนั้นมิใช่อาหรือว่าไร”
“ใครบ้างไม่อยากเป็นไทย”
การใช้กวีโวหาร
การใช้กวีโวหาร หรือ โวหารภาพพจน์ คือ การพลิกแพลงภาษาที่ใช้พูดและเขียนให้แปลกออกไปจากที่ใช้อยู่เป็นปกติ ก่อให้เกิดจินตภาพ มีรสกระทบใจ ความรู้สึกและอารมณ์ ต่างกับการใช้ภาษาอย่างตรงไปตรงมา การใช้โวหารภาพพจน์มีอยู่หลายลักษณะ ดังนี้
1. อุปมา
อุปมา หมายถึง การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับอีกสิ่งหนึ่ง การเปรียบเทียบด้วยวิธีนี้จะมีคำแสดงความหมายว่า “เหมือน”ปรากฏอยู่ด้วย เช่น เหมือน เสมือน ดุจ ประดุจ ดัง เพียง คล้าย ปูน ราว ฯลฯ
ตัวอย่าง
- ผิวขาวดังสำลี หน้าเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ
- เสร็จเสวยศวรรเยศอ้าง ไอศูรย์ สรวงฤา
เย็นพระยศปูนเดือน เด่นฟ้า
เกษมสุขส่องสมบูรณ์ บานทวีป
สว่างทุกข์ทุกธเรศหล้า แหล่งล้วนสรรเสริญ (ลิลิตตะเลงพ่าย)
- ไม้เรียกผกากุพ ชกะสีอรุณแสง
ปานแก้มแฉล้มแดง ดรุณี ณ ยามอาย (มัทนะพาธา)
2. อุปลักษณ์
อุปลักษณ์ หมายถึง การเปรียบเทียบของสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง คล้ายกับการเปรียบเทียบแบบอุปมา แต่ไม่มีคำว่า เหมือน หรือ คำอื่นที่มีความหมายนัยเดียวกันปรากฏอยู่ แต่มักใช้คำว่า เป็น คือ
เขากินเหมือนหมู (อุปมา) เขาเป็นหมู (อุปลักษณ์)
ประโยคแรก จะนึกถึงท่าทางการกินว่าเหมือนหมู แต่ประโยคหลัง อาจจะรู้สึกหยั่งลึกนอกจากการกิน แล้วอาจจะนึกถึงลักษณะท่าทางการเดินต้วมเตี้ยมเหมือนหมู อ้วนเหมือนหมู ขาสั้นเหมือนหมู ฯลฯ
การเปรียบเทียบแบบอุปลักษณ์ยังสามารถใช้คำหรือข้อความที่ต้องการเปรียบเทียบแทนได้
ตัวอย่าง
- “ดวงตาสวรรค์ส่งแสงระยับระยับในท้องฟ้า” (ดวงตาสวรรค์ หมายถึงดวงดาว)
- อย่ามายกแม่น้ำทั้งห้าเลย ฉันไม่เคลิ้มไปตามคุณหรอก (ยกแม่น้ำทั้งห้า หมายถึง พูดจาหว่านล้อม)
- พ่อตายคือฉัตรกั้ง หายหัก
แม่ดับดุจรถจักร จากด้วย
ลูกตายบ่วายรัก แรงร่ำ
เมียมิ่งตายวายม้วย มืดคลุ้มแดนไตร (โคลงโลกนิติ)
ข้อความ ฉัตรกั้ง หายหัก เป็นการเปรียบเทียบโดยปริยาย หมายถึง ผู้ที่คุ้มครองให้มีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยได้สูญสลายไปแล้ว พ่อเป็นดุจฉัตรและความตายของพ่อเป็นดุจฉัตรหัก
3. บุคคลวัต หรือ บุคคลสมมุติ
บุคคลวัต หรือ บุคคลสมมุติ หมายถึง การเปรียบเทียบด้วยการสมมุติให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ซึ่งมิใช่คนแสดงกิริยาอาการ อารมณ์ หรือความรู้สึกนึกคิดเหมือนคน เช่น ให้พืช สัตว์ สิ่งของ พูดภาษาคนได้ จินตนาการเห็นภาพพจน์และความรู้สึกคล้อยตาม
ตัวอย่าง
- “ เนื่องจากฉันมีโอ่งเพียงไม่กี่ใบดังนั้นเมื่อฝนตกหนักทีไร โอ่งที่บ้านฉันเป็นต้องสำลักน้ำทุกที ”
- “พระอาทิตย์โบกมืออำลาฉันด้วยท่าทางรีบร้อน ในขณะที่ดวงจันทร์วันเพ็ญค่อย ๆ กรีดกรายมาโดดเด่นอยู่บนท้องฟ้าสีครามเข้ม”
- “ธรรมชาติรอบข้างต่างสลดหมดความคะนองทุกสิ่งทุกอย่าง”
- “น้ำเซาะหินรินหลากไหล ไม่หลับเลยชั่วฟ้าดินหาย”
4. อธิพจน์ หรือ อติพจน์
อธิพจน์ หมายถึง การกล่าวผิดไปจากที่เป็นจริง เป็นการกล่าวเกินจริง โดยมีเจตนาเน้นข้อความที่กล่าวนั้นให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกเพิ่มขึ้น
ตัวอย่าง
- “เสียงเท่าฟ้าหน้าเท่ากลอง” “ตัวโตราวกับตึก”
- “ร้อนแทบสุก” เหนื่อยสายตัวแทบขาด”
- มีทองเท่าหนวดกุ้งนอนสะดุ้งจนเรือนไหว
- “การค้นหาจนแทบพลิกแผ่นดิน เน้นให้เห็นถึงความพยายามและแสวงหาจนพบแม้จะมีความลำบากยากเย็น หรือมีอุปสรรคเพียงใดก็ตาม”
- “เรียมร่ำน้ำเนตรถ้วม ถึงพรหม
พาหมู่สัตว์จ่อมจม ชีพม้วย
พระสุเมรุเปื่อยเป็นตม ทบท่าว ลงนา
หากอกนิษฐ์พรหมฉ้วย พี่ไว้จึ่งคง” (ตำนานศรีปราชญ์)
5. อวพจน์
อวพจน์ หมายถึง การกล่าวผิดไปจากที่เป็นจริง เป็นการกล่าวเกินจริง โดยมีเจตนาเน้นข้อความน้อยกว่าจริง
ตัวอย่าง
- “คอยสักอึดใจเดียว”
- “มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว”
- “จะเป็นความถามไถ่ในบุริน เงินเท่าปีกริ้นก็ไม่มี”
6. นามนัย
นามนัย หมายถึง การใช้ชื่อส่วนประกอบที่เด่นของสิ่งหนึ่งแทนสิ่งนั้นทั้งหมด ส่วนประกอบดังกล่าวกับสิ่งนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน
ตัวอย่าง
- “ว่านครรามินทร์ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนราชย์ เยียววิวาทชิงฉัตร เพื่อกษัตริย์สองสู้ บ่ร้างรู้เหตุผล ควรยาตรพลไปเยือน” (ลิลิตตะเลงพ่าย)
“ฉัตร” หมายถึง ราชบัลลังก์ คือเป็นเป็นกษัตริย์
- “เก้าอี้นายกสมาคมกำลังคลอนแคลน”
“เก้าอี้” หมายถึง ตำแหน่ง
- “การทำงานชิ้นนี้เป็นภาระสำคัญต้องระดมสมองระดับหัวกะทิ”
“สมอง” หมายถึง ผู้มีกำลังความคิด มีสติปัญญาสูง มีความเฉลียวฉลาดรอบคอบ
7. สัญลักษณ์
สัญลักษณ์ หมายถึง การใช้สิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง (คำแทน) ที่มีคุณสมบัติหรือลักษณะภาวะบางอย่างร่วมกัน และเป็นที่ยอมรับกันในหมู่คนส่วนใหญ่
ตัวอย่าง
- พระเกี้ยว แทน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ดอกมะลิ แทน ความบริสุทธิ์ ความชื่นใจ
- ดอกกุหลาบ แทน ความรักของหนุ่มสาว
- นกพิราบ แทน สันติภาพ
- ตาชั่ง แทน ความเที่ยงธรรม
- เรือจ้าง แทน ครู
- แสงเทียน แทน ความหวัง
- สุนัขจิ้งจอก แทน คนเจ้าเล่ห์ คนที่ไม่น่าไว้วางใจ
8. สัทพจน์
สัทพจน์ หมายถึง การเลียนเสียงธรรมชาติ เพื่อให้เกิดภาพชัดเจน
ตัวอย่าง
- “บัดเดี๋ยวดังหงั่งเหง่งวังเวงแว่ว สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา ประคองพาขึ้นไปจนบนบรรพต”
(พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่)
- “ไผ่ซออ้อเอียดเบียดออด ลมลอดไล่เลี้ยวเรียวไผ่
ออดแอดแอดออดยอดไกว แพใบไล้น้ำลำคลอง”
(บนพรมไม้ไผ่ ในคำหยาด ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)
9. ปฏิพจน์ หรือ ปฏิพากย์ หรือ ปรพากย์
ปฏิพจน์ หมายถึง การใช้ถ้อยคำที่ความหมายตรงข้ามกันหรือขัดแย้งกัน มากล่าวอย่างกลมกลืนกัน ภาพพจน์ประเภทนี้ต้องวิเคราะห์ความหมายให้ลึกลงไปจึงจะเข้าใจ เพราะมักจะกล่าวในเชิงปรัญญา
ตัวอย่าง
- รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ
- เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย
- ถี่ลอดตัวช้างห่างลอดตัวเล็น
- เสียงกระซิบแห่งความเงียบ
10. อุปมานิทัศน์
วิธีนี้เป็นการขยาย หรือแนะโดยนัยให้ผู้รับสารเข้าใจได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งในแนวความคิด หลักธรรมะ หรือข้อควรปฏิบัติที่ผู้เขียนประสงค์จะสื่อไปยังผู้อ่านผู้ฟัง
สีหราชร้องว่าโอ้ พาลหมู
ทรชาติครั้นเห็นกู เกลียดใกล้
ฤามึงใคร่รบดนู มึงมาศ เองนา
กูเกลียดมึงกูให้ พ่ายแพ้ภัยตัว
11. สมญานาม
สมญานาม หมายถึง การตั้งชื่อใหม่ที่เหมาะสมกับลักษณะของสิ่งที่ต้องการสื่อ การเลือกสรรคำ หรือกลุ่มคำที่เหมาะสมเพื่อนำสิ่งที่ต้องการสื่อ การตั้งสมญานามมักจะเป็นการสื่อคำที่รับรู้กันเฉพาะคนในกลุ่ม
ตัวอย่าง
- โรเบอร์โต้อูปาร์เต้ นักเตะเมืองกระทิงดุลงสนามแข่งขันเมื่อเย็นวาน
- ไอ้แสบเป็นชาวจังหวัดเพชรบูรณ์
- พระปิยมหาราช ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย เมืองกระทิงดุ ไอ้แสบ พระปิยมหาราช เป็นโวหารภาพพจน์ประเภทสมญานาม
เอกสารความรู้เพิ่มเติม วรรณศิลป์ 1 วรรณศิลป์2 วรรณศิลป์3